ภาพ The Birth of Venus |
คำว่า
Renaissance แปลว่า การเกิดใหม่
(Re-birth) ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่ปัญญาชนในยุโรปได้
หันความสนใจจากกิจการฝ่ายศาสนาที่ได้ปฏิบัติมาอย่างเคร่งครัดตลอดสมัยกลาง
มาสู่การฟื้นฟูศิลปวิทยา
ซึ่งมีแนวความคิดอ่านและวัฒนธรรมตามแบบกรีก และโรมันโบราณ สมัยแห่งการฟื้นฟูศิลปวิทยานี้
ได้เริ่มขึ้นครั้งแรกตามหัวเมืองภาคเหนือของแหลมอิตาลี โดยได้เริ่มขึ้นที่เมืองฟลอเรนซ์
|
ก่อนแล้วจึงแพร่ไปยังเวนิช ปิสา
เจนัว จนทั่วแคว้นทัสคานีและลอมบาร์ดี จากนั้นจึงแพร่ไปทั่วแหลมอิตาลีแล้วขยายตัวเข้าไปในฝรั่งเศส
เยอรมนี เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ
ลักษณะของดนตรีในสมัยนี้ยังคงมีรูปแบบคล้ายในสมัยศิลป์ใหม่ แต่ได้มีการปรับปรุงพัฒนารูปแบบมากขึ้น
ลักษณะการสอดประสานทำนอง ยังคงเป็นลักษณะเด่น เพลงร้องยังคงนิยมกัน แต่เพลงบรรเลงเริ่มมีบทบาทมากขึ้น
ในช่วงศตวรรษที่ 15 และ 16 รูปแบบของดนตรีมีความแตกต่างกันดังนี้ (ไขแสง ศุขะวัฒนะ,2535:89)
1.
สมัยศตวรรษที่ 15
ประชาชนทั่วไปได้หลุดพ้นจากการปกครองระบอบศักดินา (Feudalism) มนุษยนิยม
(Humanism) ได้กลายเป็นลัทธิสำคัญทางปรัชญา ศิลปินผู้มีชื่อเสียง คือ
ลอเร็นโซ กิแบร์ตี
โดนาเต็ลโล เลโอนาร์โด ดา วินชิ ฯลฯ เพลงมักจะมี 3 แนว โดยแนวบนสุดจะมีลักษณะน่าสนใจกว่าแนวอื่น
ๆ เพลงที่ประกอบด้วยเสียง 4 แนว ในลักษณะของโซปราโน อัลโต เทเนอร์ เบส
|
|
เริ่มนิยมประพันธ์กันซึ่งเป็นรากฐานของการประสานเสียง
4 แนว ในสมัยต่อ ๆ มา เพลงโบสถ์จำพวก
แมสซึ่งพัฒนามาจากแชนท์มีการประพันธ์กันเช่นเดียวกับในสมัยกลาง เพลงโมเต็ตยังมีรูปแบบคล้ายสมัยศิลป์ใหม่
ในระยะนี้เพลงคฤหัสถ์เริ่มมีการสอดประสานเกิดขึ้น คือ เพลงประเภทซังซอง แบบสอดประสาน
(Polyphonic chanson) ซึ่งมีแนวทำนองเด่น 1 แนว และมีแนวอื่นสอดประสานแบบล้อกัน
(Imitative style) ซึ่งมีแนวโน้มเป็นลักษณะของการใส่เสียงประสาน (Homophony)
ลักษณะล้อกันแบบนี้เป็นลักษณะสำคัญของเพลงในสมัยนี้ นอกจากนี้มีการนำรูปแบบของโมเต็ตมาประพันธ์เป็นเพลงแมสและการนำหลักของแคนนอนมาใช้ในเพลงแมสด้วย
2.
สมัยศตวรรษที่ 16
มนุษยนิยมยังคงเป็นลัทธิสำคัญทางปรัชญา การปฏิรูปทางศาสนาและการต่อต้านการปฏิรูปทางศาสนาของพวกคาทอลิกเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งของคริสต์ศาสนาเพลงร้อง
แบบสอดประสานทำนองพัฒนาจนมีความสมบูรณ์แบบเพลงร้องยังคงเป็นลักษณะเด่น
แต่เพลงบรรเลงก็เริ่มนิยมกันมากขึ้น เพลงโบสถ์ยังมีอิทธิพลจากเพลงโบสถ์ของโรมัน
แต่ก็มีเพลงโบสถ์ของนิกายโปรแตสแตนท์เกิดขึ้น การประสานเสียงเริ่มมีหลักเกณฑ์มากขึ้น
การใช้การประสานเสียงสลับกับการล้อกันของทำนองเป็นลักษณะหนึ่งของเพลงในสมัยนี้
การแต่งเพลงแมสและโมเต็ต นำหลักของการล้อกันของทำนองมาใช้แต่เป็นแบบฟิวก์
(Fugue) ซึ่งพัฒนามาจากแคนนอน คือ การล้อของทำนองที่มีการแบ่ง
เป็นส่วน ๆ ที่สลับซับซ้อนมีหลักเกณฑ์มากขึ้นในสมัยนี้มีการปฏิวัติทางดนตรีเกิดขึ้นในเยอรมัน
ซึ่งเป็นเรื่องของความขัดแย้ง |
|
ทางศาสนากับพวกโรมันแคธอลิก
จึงมีการแต่งเพลงขึ้นมาใหม่โดยใช้กฏเกณฑ์ใหม่ด้วยเพลงที่เกิดขึ้นมาใหม่เป็นเพลงสวดที่เรียกว่า
โคราล (Chorale) ซึ่งเป็นเพลงที่นำมาจากแชนท์แต่ใส่อัตราจังหวะเข้าไป นอกจากนี้ยังเป็นเพลงที่นำมาจากเพลงคฤหัสถ์โดย
ใส่เนื้อเป็นเรื่องศาสนาและเป็นเพลงที่แต่งขึ้นใหม่ด้วย เพลงในสมัยนี้เริ่มมีอัตราจังหวะแน่นอน
เพลงคฤหัสถ์มีการพัฒนาทั้งใช้ผู้ร้องและการบรรเลง กล่าวได้ว่าดนตรีในศตวรรษนี้มีรูปแบบ
ใหม่ ๆ เกิดขึ้นและหลักการต่าง ๆ มีแบบแผนมากขึ้น
ในสมัยนี้มนุษย์เริ่มเห็นความสำคัญของดนตรีมาก โดยถือว่าดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
นอกจากจะให้ดนตรีในศาสนาสืบเนื่องมาจากสมัยกลาง (Middle Ages) แล้วยังต้องการดนตรีของคฤหัสถ์
(Secular Music) เพื่อพักผ่อนในยามว่าง เพราะฉะนั้นในสมัยนี้ดนตรีของคฤหัสถ์
(Secular Music) และดนตรีศาสนา
(Sacred Music) มีความสำคัญเท่ากัน
สรุป ลักษณะบทเพลงในสมัยนี้
1. บทร้องใช้โพลีโฟนี (Polyphony) ส่วนใหญ่ใช้ 3-4 แนว ในศตวรรษที่ 16 ได้ชื่อว่า
The Golden Age of Polyphony
2. มีการพัฒนา Rhythm ในแบบ Duple time และ Triple time ขึ้น
3. การประสานเสียงใช้คู่ 3 ตลอด และเป็นสมัยสุดท้ายที่มีรูปแบบของขับร้องและบรรเลงเหมือนกัน
เครื่องดนตรี
- เครื่องดนตรีในสมัยนี้ที่นิยมใช้กันได้แก่ เครื่องสายที่บรรเลงด้วยการใช้คันชัก
ได้แก่ ซอวิโอล (Viols) ขนาดต่าง ๆ ซอรีเบค (Rebec) ซึ่งตัวซอมีทรวดทรงคล้ายลูกแพร์เป็นเครื่องสายที่ใช้คันชัก
ลูท เวอร์จินัล คลาวิคอร์ด ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ ปี่ชอม ปี่คอร์เน็ต แตรทรัมเปต
และแตรทรอมโบนโบราณ เป็นต้น
Top
|
|
|
|
เครื่องดนตรีสมัยรีเนซองส์ |
|
|
|
ประวัติผู้ประพันธ์เพลง |
1.
ดันสเตเบิล (John Dunstable, ประมาณ 1390 1453)
ผู้ประพันธ์เพลงชาวอังกฤษ ซึ่งนอกจากมีชื่อเสียงเรื่องการประพันธ์เพลงแล้ว
ยังเป็นนักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์
อีกด้วย เป็นผู้ทำให้วงการดนตรีรู้จักและยกย่องดนตรีของชาวอังกฤษ ชีวิตส่วนใหญ่ของ
ดันสเตเบิลไปอยู่ในฝรั่งเศส โดยการไปรับใช้ดยุคแห่งเบดฟอร์ด ผลงานการประพันธ์ของ
ดันสเตเบิลไม่ว่าจะเป็นเพลงร้อง เพลงแมสและโมเต็ตล้วนได้รับการยกย่องในเขตยุโรปตะวันตก
โดยเฉพาะในช่วงระหว่างปี 1420-1430 รูปแบบดนตรีของเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการดนตรี
เขาคงความมีชื่อเสียงได้จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1453 ผู้ประพันธ์เพลงที่รับเอาอิทธิพลของดันสเตเบิลไว้
ได้แก่ แบงชัวส์ และดูเฟย์ และผู้ประพันธ์คนอื่น ๆ ที่
อยู่ในกลุ่มผู้ประพันธ์เพลงเบอกันดี (Burgandy) ดันสเตเบิลใช้รูปแบบการประสานเสียงที่ดนตรีมาตรฐานนิยมใช้
ไม่ว่าจะเป็น
ในสมัยคลาสสิก โรแมนติก หรือเพลงสมัยนิยม ในขณะที่ดนตรีในสมัยนั้นโดยทั่ว
ๆ ไปไม่นิยมการประสานเสียง
ในลักษณะนี้เลย จึงกล่าวได้ว่าดันสเตเบิลเป็นบิดาของดนตรีสมัยใหม่
(ณรุทธ์ สุทธจิตต์,2535:143)
2. ดูเฟย์(Guillianum Dufay ประมาณ
1400-1474)
ผู้ประพันธ์เพลงชาวเนเธอร์แลนด์ดูเฟย์เป็นหนึ่งในจำนวนนักแต่งเพลงที่มีความสามารถสูงในสมัยนี้เป็นหนึ่งของผู้ที่ริเริ่ม
ดนตรีในสมัยรีเนซองส์ เมื่อมาโชท์สิ้นชีวิตลงในปี 1377 ดนตรีของฝรั่งเศสขาดผู้นำไป
จนกระทั่งถึงดูเฟย์ซึ่งนับว่าเป็น
ผู้ประพันธ์ที่เป็นผู้นำทั้งในฝรั่งเศส และยุโรป ดูเฟย์ทำงานทางด้านดนตรี
ีทั้งในอิตาลีและฝรั่งเศส ผลงานของดูเฟย์มีประกอบด้วยเพลงคฤหัสถ์และเพลงโบสถ์
โดยในระยะแรกดูเฟย์
ประพันธ์เพลงคฤหัสถ์ เช่น ชังซอง ในระยะต่อมาดูเฟย์ให้ความสนใจกับเพลงโบสถ์มาก
และเบนแนวประพันธ์มาสู่เพลงโบสถ์
ผลงานของดูเฟย์ที่มีชื่อเสียงคือ เพลงแมส ซึ่งประพันธ์ไว้เป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ยังมีเพลงโมเต็ต ซึ่งจัดเป็นเพลงที่ดูเฟย์พัฒนารูปแบบไว้และผู้ประพันธ์เพลงรุ่นต่อมานำไปใช้
ในบรรดาลูกศิษย์ของดูเฟย์มี
ีผู้หนึ่งที่มีชื่อเสียงในวงการดนตรีมาก คือ โอคิกัม
Top |
|
3.
โอคิกัม (Johannes Ockeghem, ประมาณ 1410-1497)
ผู้ประพันธ์เพลงชาวเนเธอร์แลนด์ ลูกศิษย์ของดูเฟย์ ผู้ซึ่งรับเอาแนวคิดของดูเฟย์มา
และนำเอาหลักการและความคิดของตนใส่เข้าไปทำให้ดนตรีของโอคิกัมมีเสน่ห์ชวนฟัง
ทั้งนี้เนื่องจากดูเฟย์มีแนวการประพันธ์เพลงแมสที่ขาดความอบอุ่นในอารมณ์ของมนุษย์
์ในขณะที่เพลงของโอคิกัมเน้นที่การแสดงออกของอารมณ์และความรู้สึกของมนุษย์ทำให้
|
ได้รับฉายาว่า
เจ้าชายแห่งดนตรี (The Prince of music)
โอคีกัมพัฒนารูปแบบ
ของการสอดประสานทำนองโดยเน้นการล้อกันของแนวเสียงแต่ละแนว (Imitative
style)
ซึ่งเป็นต้นแบบของฟิวก์อันเป็นรูปแบบที่สำคัญในสมัยบาโรก ซึ่งบาคใช้เสมอเมื่อประมาณ
200 ปีต่อมา
ผลงานของโอคีกัมประกอบไปด้วยแมส 14 บท (เสร็จสมบูรณ์ 11 บท) เรควิเอียม
1 บท โมเต็ต 10 บท และชังซอง 20 บท
กล่าวได้ว่าผลงานของโอคีกัมส่วนใหญ่เป็นเพลงโบสถ์ทั้งสิ้น
Top
4. จอสกิน เดอส์ เพรซ์
(Josquin des Prez, ประมาณ 1440 -1521)
ผู้ประพันธ์เพลงชาวเนเธอร์แลนด์ผู้ที่ทำงานให้สันตะปาปา ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
และย้ายมารับใช้เจ้านายในราชสำนักฝรั่งเศสเป็นผู้ที่มีแนวการแต่งเพลงที่ละเอียดอ่อน
และเป็นผู้นำการแต่งเพลงประสานเสียงซึ่งทำให้ผู้ฟังเห็นถึงความสดใสและความมีพลังของการขับร้อง
แนวทางที่เขาใช้นี้รู้จักในนามของ Musica reservata ซึ่งเป็นภาษาละตินมีความหมายถึงดนตรีสำหรับผู้ที่เข้าถึงโดยเฉพาะ
ผลงานของจอสกินได้รับการยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์ของดนตรีในสมัยรีเนซองส์
ในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่จอสกินได้รับการยกย่องตลอดมาแม้กระทั่งเมื่อเขาสิ้นชีวิตไปแล้วผลงานของเขายังมีการนำมาตีพิมพ์ใหม่ในศตวรรษที่
17 และได้รับการกล่าวยกย่องจาก
นักประวัติศาสตร์ดนตรีชาวอังกฤษ คือ เซอร์จอห์น ฮอว์กินส์ในช่วงปลายศตวรรษที่
18 อีกด้วย กล่าวได้ว่า จอสกิน เดอส์ เพรซ์
คือ ผู้ประพันธ์เพลงที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งในสมัยรีเนซองส์ มีผลงานดีเด่นในลักษณะเพลงโบสถ์เช่นเดียวกับผู้ประพันธ์คนอื่น
ๆ ในสมัยน
ี้ Top
|
5.
โทมัส ทัลลิส (Thomas Tallis)
เกิดปี ค.ศ 1505 เสียชีวิต 23 พฤศจิกายน 1585 เป็นนักออร์แกนและเป็นนักแต่งเพลงชาวอังกฤษเป็นเพื่อนกับ
เบิร์ด (William Byrd) เขาเป็นนักออร์แกนของ Dover Priory
ในปี 1532 แต่ย้ายไปกรุงลอนดอน (Saint Mary-at-Hill) ต่อจากนั้นไปที่
Waltham Abbey หลังจากการเสียชีวิตของ ทัลลิส เขาได้รับยกย่องว่าเป็น
บิดาแห่งศาสตร์หลาย ๆ ศาสตร์ไม่ใช่เพียงดนตรีเท่านั้น
(Tallis was indeed a master,not of one but of many styles)
|
|
6.
ปาเลสตรินา (Giovanni Pierluigi da Palestrina, ประมาณ 1524-1594)
ผู้ประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียนซึ่งใช้ชื่อเมืองเกิดเป็นชื่อเรียกแทนชื่อจริง
ๆ ปาเลสตรินาใช้เวลาส่วนใหญ่รับใช้สันตะปาปาปอลที่ 4 ในช่วงระยะเวลานี้เขาได้สร้างสรรค์งานประเภทเพลงโบสถ์
ประกอบไปด้วยเพลงแมส 105 บท โมเต็ต และเพลงโบสถ์ลักษณะอื่น
ๆ ซึ่งจัดเป็นเพลงที่มีรูปแบบของการสอดประสานทำนองที่มีคุณค่ามากที่สุด
ส่วนหนึ่งในโลกของดนตรีสมัยรีเนซองส์ โดยเฉพาะแมสบทหนึ่งที่มีชื่อว่า
Missa Papae Marcelli (Mass for Pope Marcellus)ที่มีความบริสุทธิ์สวยงามชวนให้ผู้ฟังนึกถึง
|
สวรรค์นอกจากเพลงโบสถ์เขาประพันธ์เพลงคฤหัสถ์ได้เป็นจำนวนมากเช่นกันได้แก่เพลงมาดริกาล
4 เล่ม สำหรับการร้อง
4และ 5 แนวและเพลงสำหรับการบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีอีก 8 บท ซึ่งเพลงต่าง
ๆ ล้วนจัดว่าเป็นเพลงในระดับคุณภาพทั้งสิ้น มีน้อยเพลงที่ไม่ถึงระดับคุณภาพนอกเหนือไปจากการเป็นผู้ประพันธ์เพลงที่โด่งดัง
เขายังเป็นนักร้องประสานเสียงในโบสถ์
และหัวหน้านักร้องประสานเสียงประจำโบสถ์
Top
Top
|
6.
เบิร์ด (William Byrd, 1543-1623)
ผู้ประพันธ์เพลงและนักออร์แกนชาวอังกฤษ ที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยนั้น
เบิร์ดได้รับอิทธิพลและสไตล์ในการแต่งเพลงโดยมีลักษณะเฉพาะของ
อังกฤษมาจากครูของเขาคือ Thomas Tallis ขณะที่อายุเพียง
20 ปี เบิร์ดมีช่วงชีวิตอยู่ในสมัยของการขัดแย้งทางศาสนาคริสต์จนในที่สุดอังกฤษได้จัดตั้งนิกายใหม่ขึ้นมาคือ
The Church of England แม้ว่าเบิร์ดเป็นชาวแคธอลิคเขาประพันธ์เพลงโบสถ์ทั้งนิกายแคธอลิคและแองกลิกัน
นอกจากเพลงโบสถ์ เขาประพันธ์เพลงคฤหัสถ์ประเภทต่าง ๆ ไว้มากมายเช่น
มาดริกาลเพลงสำหรับคีย์บอร์ดและอื่น ๆ ผลงานของเบิร์ดไม่ว่าจะเป็นเพลงโบสถ์หรือเพลงคฤหัสถ์ล้วนเป็นบทเพลงที่มีคุณค่าทั้งสิ้น
เบิร์ดและเพื่อนคือ โธมัส ทาลิสได้รับพระบรมราชานุญาตจากพระราชินีอลิซาเบธที่หนึ่งให้จัดพิมพ์โน้ตดนตรีแต่ผู้เดียวในสมัยนั้น
|
7.
มอนแทแวร์ดี (Claudio Monteverdi, 1567-1643)
ผู้ประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียน ซึ่งรับใช้ทั้งในราชสำนักและในวัดหลายแห่งตลอดชีวิตของเขา
เป็นผู้ที่เริ่มดนตรีสมัยใหม่โดยโจมตีแนวคิดเก่า ๆ ในขณะนั้นเกี่ยวกับแนวการแต่งเพลงที่ใช้ดนตรีเน้นบทร้องให้เด่นขึ้นมาซึ่งเรียกว่า
Word painting โดยกล่าวว่าดนตรีควรใช้ในการแสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกและเนื้อหาของเพลงมากกว่าคำแต่ละคำในบทร้อง
นอกจากนี้ยังวิจารณ์การใช้โครงสร้างของการสอดประสานทำนองซึ่งเป็นหลักที่ใช้กันทั่วไป
โดยหันมาให้ความสำคัญกับการร้องแนวเดียวไม่มีการสอดประสาน (Monody)
เขาฝากผลงานไว้มากมายทั้งเพลงโบสถ์และเพลงคฤหัสถ์ ส่วนใหญ่ของผลงานเพลงโบสถ์ใช้รูปแบบการประพันธ์แบบการร้องเพลงของสองกลุ่มนักร้อง
(Antiphonal Style) มีทั้งเพลงแมสและเพลงประเภทอื่น ๆ เช่น เพลงมาดริกาลที่มีบทร้องเป็นเรื่องศาสนา
สิ่งหนึ่งที่เขาสร้างสรรค์ไว้และถือเป็นจุดเริ่มต้นของดนตรีในรูปแบบนี้คือ
โอเปร่า ไม่ว่าจะเป็นการร้องเดี่ยว การร้องประสานเสียงและดนตรีที่บรรเลงล้วนนำไปสู่อารมณ์ความรู้สึกซึ่งทำให้โอเปร่าของเขาเป็นผลงานที่ควรแก่การยกย่องและแนวคิดในเรื่องการบรรเลงดนตรีประกอบโอเปร่านี้เองจัดได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของวงออร์เคสตรา
โอเปร่าส่วนใหญ่ของมอนเทแวร์ดีสูญหายไปหมด คงเหลืออยู่เพียง 3
เรื่อง ได้แก่ Orfeo ,2 Ritorno of Ulisse in Patria (The Return
of Ulysses) และ L Incoronazione of Poppea (The Coronation of
Popea) กล่าวได้ว่าเขามีแนวคิดในการประพันธ์เพลงแบบโรแมนติกดังที่เขากล่าวไว้ว่า
ดนตรีควรอยู่บนรากฐานของธรรมชาติในความเป็นมนุษย์กล่าวคือดนตรีควรใช้ในการแสดงออกถึงความรักอย่างเต็มรูปแบบ
ความเศร้าซึมจนถึงความโกรธ หรือความสุขสันต์จนถึงความผิดหวัง
โน้ตตั้งแต่สมัย
1560-71 |
Top
|
This
site is best viewed with IE 5.0 800 x 600
Copyright ฉ 2003 All rights reserved. Site designed by Komson
|
|
ี
|